โลกที่เปลี่ยนแปลง และ สิ่งที่โรงงานผลิตกล่องกระดาษต้องเปลี่ยนนโยบายบริหารจัดการ
ภาวะโลกร้อนส่งผลต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน และทำให้เกิดสิ่งที่มนุษย์ไม่เคยเจอมาก่อนในพื้นที่ทั่วโลกไม่ว่าจะเป็น อุณหภูมิที่สูงอย่างไม่เคยมีมาก่อน หรือ น้ำท่วมจากการที่น้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้น ทำให้โรงงานผลิตจำเป็นต้องตระหนักถึงปัญหาเหล่านี้และเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยกันร่วมลดภาวะโลกร้อนและเริ่มนโยบายลดคาร์บอนหรือผลิตขยะให้น้อยที่สุด
ผลิตภัณฑ์ที่ต้องส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมที่น้อยลง และ นำมารีไซเคิลได้
โดยหนึ่งในวิธีการสำคัญคือการ Reduce, Reuse, Recycle ทำให้เกิดการสร้างขยะน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ สำหรับโรงงานผลิตกล่องกระดาษนั้น มักใช้ กล่องกระดาษลูกฟูกซึ่งเป็นวัสดุที่ค่อนข้างส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยเพราะสามารถ นำมารีไซเคิลได้เพื่อนำไปดัดแปลงใช้ประโยชน์อย่างอื่น และสามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ พร้อมทั้งยังมีวิธีการออกแบบกระดาษลูกฟูกให้สามารภใช้วัสดุที่น้อยลง เบาลง แต่มีความแข็งแรงเท่าเดิมซึ่งถือว่าตอบโจทย์ทั้ง 3 R ได้แก่ Recycle, Reuse, Reduce มากกว่านั้นกระดาษลูกฟูกที่นำมาผลิตกล่องกระดาษ หรือ กล่องพิซซ่า เหล่านี้ ก็ยังเป็นวัสดุธรรมชาติที่สามารถย่อยสลายเองได้ไม่เหมือนพลาสติกที่ต้องใช้เวลานาน
ผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อธรรมชาตินั้นดีด้วยตัวของมันเองแต่หากเครื่องจักรหรือกระบวนการผลิตในโรงงานยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเช่น ส่งผลเสียทางน้ำ อากาศ หรือ ขยะ ก็ยังเป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อมอยู่ดี ดังนั้น โรงงานจึงควรปรับตัวในการลดขยะด้วยการ เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตให้มีความลีนมากขึ้นด้วยการ วางแผนใช้วัสดุให้เหมาะสม ไม่มากเกินไปจนเหลือทิ้ง มีการจัดเก็บคงคลังให้เหมาะสม และ มีกระบวนการแยกขยะภายในโรงงานให้สะอาด ยิ่งไปกว่านั้น การเลือกใช้พลังงานทดแทนในการใช้พลังงานไฟฟ้าก็เป็นอีกส่วนในการช่วยให้โรงงานส่งผลเสียในโรงงานน้อยลงและเป็นความยั่งยืนและภาพลักษณ์ของแบรนด์ด้วย
พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เรียนรู้ต่อบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น
ทุกวันนี้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงความรู้ต่อผลลัพธ์ในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้น หากผู้ผลิตสามารถสื่อสารและแสดงให้เห็นได้ถึงความต้องการจะเป็นโรงงานสีเขียวที่ลดปัญหาภาวะโลกร้อนและแสดงถึงกระบวนการที่ได้จัดทำให้เห็นเป็นรูปธรรม เช่น มีการบอกตัวเลขวัสดุที่ได้นำมารีไซเคิลเป็นเปอร์เซ็นต์ หรือ มีการทำคลิปวิดิโอให้เห็นถึงกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อธรรมชาติ ใช้พลังงานสะอาด และ ลดภาวะขยะล้น เป็นการทำแบรนดิ้งให้ขายดีและยั่งยืนในอนาคตได้มากขึ้นอีกด้วย
โดยเฉพาะผู้บริโภคที่มีกำลังทรัพย์ที่พร้อมที่จะซื้อผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อธรรมชาติ ที่เลือกซื้อด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่ทำให้ได้ช่วยโลกและเหตุผลในการทำให้โลกดีขึ้นกว่าเดิมและเป็นการสนับสนุนบริษัทที่ให้ความสำคัญด้านธรรมชาติ ซึ่งแน่นอนว่าราคาของสินค้าเหล่านี้มักจะมีราคาที่สูงกว่า แต่หากลูกค้ากลุ่มที่มองข้ามเรื่องราคาไปในระดับนึง ก็พร้อมที่จะสนับสนุน ถึงแม้ราคาจะแพงกว่า ซึ่งการที่จะทำให้ลูกค้ามั่นใจว่าได้เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ดีจริงๆ แบรนด์ต้องมีความโปร่งใสที่มากพอ พร้อมเปิดเผยข้อมูลการผลิต วัตถุดิบในการผลิต พลังงานไฟฟ้าที่เลือกใช้ การดูแลผู้คนพนักงานในองค์กร และ แนวทางอื่นๆ